วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แนวโน้มของรูปแบบการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้

แบบฝึกหัดท้ายบท

แนวโน้มของรูปแบบการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
************************************************************
1.  โครงสร้างองค์กรหมายถึงอะไร
-      โครงสร้างองค์กร หมายถึง   การจัดระบบในการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
โดยการจัดสรรทรัพยากร การแบ่งหน้าที่ในแต่ละฝ่าย ซึ่งการจัดเป็นรูปต่างๆ กันเพื่อให้ การบริหารงานบรรลุจุดม
-      ระบบการติดต่อสื่อสาร และอำนาจบังคับบัญชาที่เชื่อมต่อคน และกลุ่มคนเข้าด้วยกัน  เพื่อ
ทำงานร่วมกันจนบรรลุเป้าหมายขององค์การ
************************************************************
2.  องค์กรแบบมีชีวิต หมายถึงอะไร
-      องค์กรแบบสิ่งมีชีวิตให้ความสำคัญต่อการใช้ศักยภาพของมนุษย์อย่างสูงสุดจึงทำให้พนักงาน
ปฏิบัติงานด้วยความรู้สึกว่าตนมีคุณค่า เกิดแรงจูงใจและความพึงพอใจในงานที่ทำ  มีความรู้สึกยืดหยุ่นพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น
ลักษณะขององค์กรแบบสิ่งมีชีวิต  (Organic Organization) ได้แก่
1.1  โครงสร้างยืดหยุ่น (Flexible Structure)  ไม่ติดยึดกับโครงสร้างที่ตายตัวแบบองค์การแบบเครื่องจักร มีการปรับโครงสร้างให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงาน
1.2  มีการกระจายอำนาจ (Decentralization)  ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจ
1.3 มีการทำงานเป็นทีม(Team Work) ร่วมมือกัน
1.4  เน้นผลงานมากกว่ากฎระเบียบ  (Performance Oriented)  กฎ ระเบียบ จะกำหนดเท่าที่จำเป็น ถือว่าเป็นเพียงเครื่องมือในการทำงาน
1.5  การติดต่อสื่อแบบไม่เป็นทางการ(Informal Communication)  สมาชิกติดต่อได้ทุกระดับโดยตรง  ไม่ต้องผ่านโครงสร้างสายการบังคับบัญชา
************************************************************
3.  กระบวนการจัดการแบบ 5s Model มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
กระบวนการจัดการองค์กร 5s หมายถึง การจัดระเบียบของการทำงานในลักษณะขององค์กรสมัยใหม่ที่มีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น ซึ่งประกอบด้วย Small, Smart, Smile, Simplify, Smooth
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เทคนิควิธีการออกแบบองค์การให้เป็นองค์การสมัยใหม่(5S Model)
1. Small คือ เป็นองค์การขนาดเล็ก แต่เป็นองค์กรที่มีคุณภาพ
                2. Smart คือ ดูดี ดูเท่ห์ ดูน่าเชื่อถือ ใช้คำว่า ฉลาดเพียบพร้อมด้วยภูมิปัญญา การจะทำให้เท่ห์ต้องมี
ISO มีการประกันคุณภาพในระบบของ QA และกิจกรรมอื่น  เช่น 5 ส. , TQA
3. Smile คือ ยิ้มแย้มแจ่มใส เปี่ยมด้วยน้ำใจ ฉะนั้นคนในองค์การจะต้องทำงานอย่างมีความสุข ความสุขมีอยู่ 2 ฝ่าย
1 ) คนทำงานมีความสุข
2 ) ลูกค้าผู้รับการบริการ โดยเริ่มที่พนักงานก่อนแล้วออกแบบองค์การให้เป็นองค์การที่มีความสุข  สนุกในงานที่ทำมีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส ทำงานด้วยใจรัก  รักงานอยากจะมาทำงาน
4. Smooth คือ ไม่พูดเรื่องการขัดแย้ง จะพูดเรื่อง การผนึกกำลังการทำงานเป็นทีมเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
5. Simplify คือ ทำเรื่องสลับซับซ้อนให้เป็นเรื่องง่ายหรือทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรื่องที่ไม่สะดวกให้สะอาด ทำเรื่องที่ช้าให้เร็วขึ้น
***********************************************************
4.  ลักษณะขององค์การแบบเครือข่าย (Network organization) หมายถึงอะไร
     องค์การเครือข่ายเป็นผลรวมขององค์การอิสระหลายๆองค์การมาผูกเชื่อมโยงกันที่มารวมตัวกันเพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันหรือความต้องการเดียวกัน
ลักษณะขององค์การเครือข่าย
1. ความยืดหยุ่น Flexible แต่ละองค์การที่มีความหลากหลายที่มารวมตัวกันบางครั้งมาจากหน่วยงานภายในองค์การเดียวกันที่มาเชื่อมโยงกัน /มาจากต่างองค์การ
2. Assemble by brokers อาจมีตัวแทนหรือการoutsource
3. Team – base ทำงานเป็นทีม
4. Flat org. โครงสร้างเป็นแบบแนวราบเน้นการเจรจาประสานงานกันมากกว่าโครงสร้างสายการบังคับบัญชา             
5. ใช้ IT มาเชื่อมโยงเพื่อการประสานงานหรือรวมกลุ่มหรือประสานงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ
6. ขอบเขตไม่ชัดเจน
************************************************************
5. แนวโน้มของการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคตมีอะไรบ้าง
       1. มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการจัดการและให้บริการมากขึ้น
2. มีการจัดการแบบองค์กรสมัยใหม่
3. ให้บริการในรูปแบบ ศูนย์ศึกษาบันเทิง กล่าวคือเป็น แหล่งการ เรียนรู้ที่รวบรวมรวมสื่อ วัสดุ อุปกรณ์และวิธีการที่หลากหลายแบบมาบูรณาการ โดยเป็นลักษณะแบบทั่วไปที่เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งประกอบด้วย การเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติ ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ที่พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองและ เป็นแหล่งการเรียนรู้
************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การบริหารงานบุคคล ประจำศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
1. อธิบายภารกิจหรือกิจกรรมที่สำคัญๆ ของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้มีอะไรบ้าง

               บทบาทหน้าที่ของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ ส่วนใหญ่มีหน้าที่ในการจัดหา จัดสร้างดำเนินงาน  บริการด้านสื่อการเรียนการสอน ข้อสนเทศความรู้วิทยากร และนวัตกรรมต่างๆ อันเป็นผลผลิตของเทคโนโลยีทางการศึกษาสมัยใหม่ โดยจะต้องรวบรวมจัดหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการค้นหา จัดให้บริการยืม
อีกทั้งจะต้องบำรุงรักษาซ่อมแวมวัสดุการศึกษาดังกล่าวให้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมต่อการใช้สอยได้ตลอกเวลา ในกรณีที่เกิดปัญหาไม่เข้าใจ หรือผู้ให้บริการมีข้อปัญหาซักถามในด้านความรู้ ข้อสนเทศหรือปัญหาทางเทคนิคต่างๆ ศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้มีหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาหารือเพื่อสร้างความเข้าใจ ส่งเสริมความรู้ให้แก่บุคลากรต่างๆภายในหรือภายนอกสถานศึกษาด้วย ศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้เป็นหน่วยงานกลางมีหน้าที่บริการสื่อการเรียนการสอนแก่ครูอาจารย์ นักเรียน การบริการนับได้ว่าเป็นหัวใจของงานในหน้าที่ของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ซึ่งงานบริการนี้ส่วนใหญ่จะควบคู่ไปกับกิจกรรมอื่นๆด้วย

ดังนั้น จึงกล่าวสรุปได้ว่าภารกิจหรือกิจกรรมที่สำคัญในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ ได้แก่

                1. การเลือก จัดหา การลงทะเบียน ทำบัตรรายการ การบริการการใช้ ตลอดจนเก็บบำรุงรักษาวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆ
                2. การผลิตสื่อการสอน เช่น ผลิตวัสดุกราฟิก การบันทึกเสียง ท ารายการวิทยุและโทรทัศน์
                3. จัดกิจกรรมทางวิชาการ เช่น การฝึกอบรมครูประจำการ การวิจัย การจัดนิทรรศการ ตลอดจนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
                4. การบริหาร เช่น การจัดบุคลากร การนิเทศ การบันทึกรายการ การติดต่อประสานงานและการทำงบประมาณ เป็นต้น
                5. การประเมินกิจกรรมต่างๆ
*********************************************************
2. ถ้าหากพิจารณาบทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ จะประกอบด้วยบุคคลด้านใดบ้าง

1. ด้านบริหาร เพื่อให้หน่วยงานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยต้องมีฝ่ายรับผิดชอบ ดังนี้
  • หัวหน้าหน่วยงาน  ซึ่งอาจเรียกได้ว่าหัวหน้าศูนย์หรือผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
  • หัวหน้างานหรือหัวหน้าฝ่าย จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบงานในแต่ละฝ่าย
  • เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุม การจัดการงานต่างๆ เช่น งานธุรการ งานบุคคล งานพัสดุ งานจัดระบบงาน
  •  พนักงานธุรการ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ เช่น  งานธุรการหรืองานสารบรรณงานดำเนินการจัดซื้อพัสดุ  งานครุภัณฑ์ งานจัดทำทะเบียนและเบิกจ่ายพัสดุครุภัณฑ์ของสำนักงาน
  • เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงในคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์เอกสาร หนังสือโต้ตอบ หนังสือคำสั่ง

 2. ด้านการบริการ มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการสำรวจและจัดหา จัดเก็บแยกหมวดหมู่ และจัดทำทะเบียนบัญชีสื่อรวมทั้งมีหน้าที่รับผิดชอบในการซ่อมบำรุงสื่อ โดยมีฝ่ายที่รับผิดชอบ ดังนี้
  • บรรณารักษ์ โดยจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดหา การให้เลขหมู่ ทำบัตรรายการ เก็บรวบรวมสถิติ ให้คำปรึกษาและบริการในการค้นหาสื่อต่างๆ
  • นักวิชาการคอมพิวเตอร์ จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการติดตั้งการใช้คอมพิวเตอร์ ดูและระบบคอมพิวเตอร์และปฏิบัติงานหน้าที่อื่นๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
  • นายช่างอิเล็กทรอนิกส์ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรักษา ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ปฏิบัติการเกี่ยวกับเสียง ช่างตัดต่อ ช่างกล้อง จัดซื้อจัดหา ทำบัญชีวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น

3. ด้านการผลิตสื่อ บุคลากรที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้
  •  นักวิชาการโสตทัศนศึกษา มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการออกแบบและผลิตสื่อการเรียนการสอนในระดับต่างๆ การออกแบบประเมินและวิจัยสื่อ
  •  นักวิชาการช่างศิลป์ จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านการออกแบบภาพประเภทต่างๆ ตัวอักษรประกอบคำบรรยายออกแบบแผ่นป้าย แผนภาพประชาสัมพันธ์ ท ารูปปั้นจำลองสื่อวัสดุสามมิติและอื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็น   ผู้กำหนดและประมาณการขั้นต้นในการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติทางด้านศิลปะหรือวัสดุที่ใช้ในการฝึกปฏิบัติกราฟิก
  • นายช่างภาพ มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการเตรียมจัดหา และเก็บรักษาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพและในห้องปฏิบัติการถ่ายภาพ ล้างอัดขยายภาพ จัดเก็บรักษาฟิล์ม

4. ด้านวิชาการ
  • นักวิชาการศึกษา มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการวิจัยและเป็นผู้ช่วยในการวิจัยสื่อต่างๆรวมถึงเป็นผู้ช่วยในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
  • นักวิจัย มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการวิจัยและพัฒนาสื่อร่วมกับนักวิชาการโสตทัศนศึกษาและเป็นผู้ออกแบบในการวิจัยรวมถึงการวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัยสื่อ

5. ด้านการปรับปรุงการเรียนการสอน มีภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการศึกษาเป็นสำคัญในการจัดหาสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและเนื้อหาแต่ละวิชา

6. ด้านกิจกรรมอื่น เช่น มีบทบาทหน้าที่ประชาสัมพันธ์สถาบันต่อชุมชนจัดนิทรรศการหรือจัดการแสดงความก้าวหน้าต่างๆ
*********************************************************
3. ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ จำแนกเป็นประเภทที่สำคัญได้กี่ประเภท

ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. บุคลากรทางวิชาชีพ (Professional Staff) ได้แก่ บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาหรือโสตทัศนศึกษาระดับปริญญา ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ (Media Specialists) หรือบางที่อาจเรียกว่านักวิชาการการโสตทัศนศึกษา บุคลากรกลุ่มนี้จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือผู้บริหาร อำนวยการประสานเกี่ยวกับสื่อ และอำนวยการให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บุคลากรทางวิชาชีพสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น
  • บุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุตีพิมพ์และไม่ตีพิมพ์ ( Printed and Non-Printed Specialization)
  •  บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านสิ่งพิมพ์และโสตทัศนูปกรณ์ ( Printed and Audiovisual Aids  )
  •  บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเฉพาะหน้าที่ (Functional Specialization)
  •  บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา (Subject Specialization)
  • บุคลากรที่เชี่ยวชาญเรื่องสื่อเฉพาะระดับชั้น (Level Specialization )
  • บุคลากรที่เชี่ยวชาญเรื่องสื่อเฉพาะหน่วยงาน (Unit-Type Specialization)

2. บุคลากรกึ่งวิชาชีพ (Paraprofessional Staff) คือ บุคคลที่ได้วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพโดยมีหน้าที่ช่วยเหลือบุคลากรทางวิชาชีพเกี่ยวกับด้านเทคนิคหรือด้านบริการ ได้แก่
  • พนักงานเทคนิค ( Media Techician)
  •  พนักงานด้านกราฟิกหรือช่างศิลป์
  • พนักงานด้านภาพนิ่ง หรือช่างภาพ
  • พนักงานช่างเทคนิค
  • พนักงานด้านวิทยุโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง

3. บุคลากรที่ไม่มีความรู้ทางวิชาชีพ (Non-professional Staff) ทำหน้าที่ทางด้านธุรกิจ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ใช้ความรู้ความชำนาญเฉพาะในหน้าที่ของตน
*********************************************************
4. ท่านมีขั้นตอนในการจัดหาสื่อการเรียนการสอน มาใช้บริการในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้อย่างไร จงอธิบาย
ในการจัดหาสื่อมาไว้บริการภายในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว มีระบบ ระเบียบ สามารถแบ่งออกเป็นขันตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เป็นขั้นการสำรวจสภาพของสื่อในสถานศึกษาเพื่อสำรวจหาข้อเท็จจริงเบื้องต้น เป็นข้อมูลมาประกอบการจัดหา ได้แก่
                  1. การสำรวจสื่อวัสดุ (Materials)การสำรวจสื่อวัสดุมีรายการที่ต้องการทราบ คือ
    • ชนิดของวัสดุ
    • ชื่อเรื่อง
    • แหล่งที่เก็บ (Location)
    • แหล่งที่ได้มา
    • สภาพการใช้งานปัจจุบัน
                  2. การสำรวจเครื่องมือ (Equipments)
    • ชนิดของเครื่องมือ
    •  แบบ/รุ่น
    •  แหล่งที่เก็บ
    •  แหล่งที่ได้มา
    •  จำนวน
    •  สภาพการใช้งานปัจจุบัน

ขั้นตอนที่ 2 การสำรวจสถานที่ เป็นขั้นตอนการสำรวจวางแผนจะให้สถานที่ส่วนใดบ้างในการทำกิจกรรม เพื่อเป็นการตรวจสอบดูว่ามีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องการมีเพียงพอแล้วหรือยังและจะต้องการจัดหาอะไรเพิ่มเติมบ้าง

ขั้นตอนที่ 3 การสำรวจความต้องการของผู้ใช้ เพื่อต้องการทราบถึงความต้องการใช้สื่อประเภทต่างๆ โดยนำข้อมูลที่ได้ไปดำเนินการจัดหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้นก่อนการจัดหาหรือจัดซื้อสื่อมาไว้บริการ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสำรวจและศึกษาความต้องการของผู้ใช้ก่อนเสมอ การสำรวจความต้องการใช้สื่อในการเรียนการสอนสามารถทำได้หลายลักษณะ ได้แก่
1. การสัมภาษณ์ ซักถามเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย
2. การสังเกต เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้ต้องการข้อมูลสามารถนำมาใช้เพื่อเก็บข้อมูลโดยดูจากพฤติกรรมการใช้สื่อที่มีมาแต่เดิม
3. การใช้แบบสอบถาม เป็นการสำรวจที่ได้รายละเอียดมากกว่าแบบอื่นๆ

ขั้นตอนที่ 4 เป็นขั้นการจัดหา โดยนำข้อมูลที่ได้มาจากความต้องการแล้วทำเป็นโครงการสั้นๆ หรือโครงการระยะยาวเพื่อวางแผนในเรื่องงบประมาณในการจัดหาต่อไป ในการจัดซื้อผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาตามลำดับความสำคัญของผู้ใช้โดยจัดซื้อเฉพาะสื่อที่มีคุณภาพ ประหยัดงบประมาณ ก่อนจัดซื้อสื่ออะไรมาไว้บริการจะต้องมีการประเมินค่าสื่อนั้น โดยคณะกรรมการประเมินค่าสื่อเพื่อพิจารณาว่าสื่อหรือวัสดุอุปกรณ์มีคุณค่าต่อการเรียนการสอนมากน้อยเพียงไร มีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรเพื่อให้การจัดซื้อจัดหาสื่อมาไว้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
*********************************************************
5. อธิบายวิธีการจัดซื้อจัดหาวัสดุครุภัณฑ์เพื่อมาใช้ในกิจกรรมและบริการ ท่านมีหลักเกณฑ์สำคัญอะไรบ้าง

สื่อประเภทโสตทัศนูปกรณ์จะมีราคาแพงต้องใช้งบประมาณสูงในการจัดซื้อ จัดหา ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อมาไว้บริการจึงควรพิจารณาคุณสมบัติและการใช้งานให้ละเอียดถี่ถ้วนโดยพิจาณายึดเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
1. ความคงทน (Ruggedness ) โดยพิจารณาถึงวัสดุที่ประกอบเป็นตัวเครื่องให้ความคงทน แข็งแรง ไม่แตกหักง่าย
2. ความสะดวกในการใช้งาน (Ease of Operation) โดยพิจารณาถึงการควบคุม การบังคับ กลไกไม่ซับซ้อนจนเกินไปหรือมีปุ่มต่างๆมากมายเกินไป
3. ความกะทัดรัด (Portability) โดยพิจารณาถึงขนาดของตัวเครื่อง น้ำหนัก ความสะดวก ในการเก็บ และเคลื่อนย้าย
4. คุณภาพของเครื่อง (Quality of Peration) เป็นการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานที่ประกอบรวมกันเป็นไปตามคุณสมบัติต้องการใช้งานเพียงใด
5. การออกแบบ (Design) เป็นการพิจารณาเกี่ยวกับรูปลักษณ์ว่าสวยงามมีความทันสมัยการ  ติดตั้งอุปกรณ์ประกอบออกแบบให้ใช้ได้ง่าย
6. ความปลอดภัย (Safety) เป็นการพิจารณาว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งที่น่าจะเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายได้ง่ายขณะใช้งาน
7. ความสะดวกในการบำรุงรักษาละซ่อมแซม ( Ease of Maitenance and Repair) เป็นการพิจารณาว่ามีส่วนประกอบใดที่ยุ่งยากต่อการซ่อมแซมหรือมีความยากลำบากในการดูแลรักษาหรือมีส่วนประกอบที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงเมื่อชำรุดแล้วไม่สามารถซ่อมแซม
8. ราคา (Cost) การจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์มาใช้หรือเพื่อบริการควรคำนึงถึงราคาซึ่งไม่ แพงเกินไปที่ สำคัญพิจารณาถึงความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งานแล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเหมาะสมกับราคาและคุณภาพ ของเครื่องมืออุปกรณ์นั้น
9. ชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิต ( Reputation of Manufacturer) การพิจารณาบริษัทผู้ผลิตเพื่อจะทราบว่า        วัสดุอุปกรณ์ที่ซื้อนั้นมีจำนวนและรุ่นที่ผลิตออกมามากน้อยพียงใด หากเป็นบริษัทที่มั่นคง มีชื่อเสียง  จะเห็นได้ว่ามีระบบการผลิต ระบบการจัดการอื่นๆ ที่ได้ มาตรฐาน ทำให้วัสดุอุปกรณ์มีคุณภาพและ    น่าเชื่อถือ
 10. การบริการซ่อมแซม (Available Service) อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ควรเป็นแบบที่สามารถ ซ่อมแซม   ได้ง่าย รวดเร็วและมีบริการดูแลบำรุงรักษาที่เอาใจใส่ดูแลบำรุงสม่ำเสมอและมีอะไหล่สำรองไว้เพียงพอหรือเมื่อมีปัญหาทางบริษัทสามารถแก้ปัญหาให้รวดเร็ว
*********************************************************
ประเภทและหลักการจัดหาทรัพยากรการเรียนรู้

1. ข่าวของมหาวิทยาลัยบูรพาในหน้าหนังสือพิมพ์จัดอยู่ในประเภทของทรัพยากรการเรียนรู้ใด และมีชื่อเรียกว่าอะไร
  • ข่าวของมหาวิทยาลัยบูรพาในหน้าหนังสือพิมพ์จัดอยู่ในประเภท   สื่อทรัพยากรการเรียนรู้ที่ตีพิมพ์
  • มีชื่อเรียกว่า สิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง

*********************************************************
2.  ถ้าต้องการคัดเลือกสื่อวีดิทัศน์มาให้บริการนิสิตจะมีหลักการอย่างไรในการคัดเลือกสื่อดังกล่าว

หลักการในการคัดเลือก มีดังนี้
  •  กำหนดเกณฑ์การประเมินเพื่อคัดเลือกทรัพยากรการเรียนรู้แต่ละประเภทให้ชัดเจน
  • ต้องสัมพันธ์กับหลักสูตรการเรียนการสอนในสถานศึกษานั้น ๆ
  • เนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย น่าสนใจ นำเสนอเนื้อหาได้ดีเป็นลำดับขั้นตอน
  • เหมาะสมกับวัย ระดับชั้น ความรู้ และประสบการณ์
  • สะดวกในการใช้ ไม่ซับซ้อนยุ่งยากจนเกินไป
  •  มีคุณภาพ มีเทคนิคการผลิตที่ดี มีความชัดเจนและเป็นจริง
  • ราคาไม่แพงเกินไป
  • ถ้าจะผลิตเองควรคุ้มกับเวลาและการลงทุน
*********************************************************
3.  การจัดซื้อทรัพยาการเรียนรู้มีกี่วิธีการ อะไรบ้าง     

การจัดซื้อ มีทั้งหมด 4 วิธีการ คือ
  • สั่งซื้อโดยตรง : ในประเทศ / ต่างประเทศ
  •  สั่งซื้อผ่านร้าน/ตัวแทนจำหน่าย : ในประเทศ / ต่างประเทศ
  • เว็บไซต์ : ในประเทศ / ต่างประเทศ
  • จัดซื้อในรูปภาคีร่วมกับศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้สถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ

*********************************************************

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลักการรายงานผล

แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่  9

   การรายงานผลมีความสำคัญต่อการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้อย่างไร
               การรายงานผลการดำเนินงานการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้เป็นส่วนสำคัญในการแสดงข้อมูลอย่างเป็นระบบให้กับผู้บังคับบัญชา หรือสาธารณชนได้รับทราบผลการดำเนินงาน และเป็นการนำเสนอเพื่อปรับปรุงในการดำเนินงานครั้งต่อไป  
*****************************************

การประสานงาน (Coordinating)

แบบฝึกหัด
การประสานงาน (Coordinating)

*****************************************
  1.            สิ่งสำคัญเบื้องต้นของการประสานงานมีอะไรบ้าง
1. การจัดวางหน่วยงานที่ง่าย (Simplified Organization) ในการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้การจัดวางหน่วยงานควร คำนึงถึง
. การแบ่งแผนกซึ่งช่วยในการประสานงาน กล่าวคือ การจัดแผนกต่าง ๆ บางแผนกมี
ความจำเป็นต้องประสานกันควรอยู่ใกล้ชิดกันเนื่องจากการติดต่ออย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้ที่ทำงานอัน
เกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดกันมากขึ้น
. การแบ่งตามหน้าที่
. การจัดวางรูปงานและระเบียบการที่ชัดแจ้ง
2.  การมีโครงการและนโยบายอันสอดคล้องต้องกัน (Harmonized Program and Policies)
3.  การมีวิธีติดต่องานภายในองค์การที่ทำไว้ดี (Well – Designed Methods of Communication)
เครื่องมือที่ช่วยในการติดต่อส่งข่าวคราวละเอียด ได้แก่
ก.  แบบฟอร์มในการปฏิบัติงาน (Working Papers)
ข.  รายงานเป็นหนังสือ (Written report)
ค.  เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในการติดต่องาน เช่น ระบบการติดต่อภายในโรงพิมพ์ เป็นต้น
4.  เหตุที่ช่วยให้มีการประสานงานโดยสมัครใจ (Aids to Voluntary Coordination) การประสานงานส่วนมากมักจะเกิดขึ้นจากการร่วมมือโดยสมัครใจของพนักงาน
5. ประสานงานโดยวิธีควบคุม (Coordination through Supervision) หัวหน้างานมีหน้าที่จะต้อง
คอยเฝ้าดูการดำเนินปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างสอดคล้องและจะต้องใช้วิธีประเมินผลการปฏิบัติงานทุกระยะจะได้ทราบข้อบกพร่องหาทางแก้ไขให้การปฏิบัติงานถูกต้องยิ่งขึ้น 
*****************************************
   2.      เทคนิคการประสานงาน (Techniques Coordination)  มีอะไรบ้าง
1.  จัดให้มีระบบการติดต่อสื่อสารทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2.  การกำหนดอำนาจหน้าที่และตำแหน่งงานอย่างชัดเจน
3.  การสั่งการและการมอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
4.  การใช้คณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ประสานงานโดยเฉพาะการประสานงานภายในองค์การ
5.  การจัดให้มีการประสานงานระหว่างพนักงานในองค์การ
6.  การจัดให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา
7.  การติดตามผล
*****************************************
  3.            จงอธิบายอุปสรรคของการประสานงาน มาพอเข้าใจ
             อุปสรรคของการประสานงานส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างผู้ปฏิบัติงาน
ด้วยกันจะกลายเป็นสาเหตุทำให้การติดต่อประสานงานที่ควรดำเนินไปด้วยดี ไม่สามารถกระทำได้  การปฏิบัติงานไม่มีแผน ซึ่งเป็นการยากที่จะให้บุคคลอื่น ๆ ทราบวัตถุประสงค์และวิธีการในการทำงาน   การขาดการติดต่อสื่อสารที่ดีย่อมทำให้การทำงานเป็นระบบที่ดีของความร่วมมือขาดความเข้าใจซึ่งกันและกัน  การทำหน้าที่ความรับผิดชอบและอำนาจไม่ชัดแจ้งทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความกังวลใจและอาจไปก้าวก่ายงานของบุคคลอื่นได้ และความแตกต่างกันในสภาพและสิ่งแวดล้อม 
                        *****************************************

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กิจกรรมท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 5-6

แบบฝึกหัด
เรื่อง  หลักการจัดการคน(Staffing)  และ  หลักการสั่งการ (Directing)

1. ระบบการบริหารงานบุคคลมีอะไรบ้าง
  • หลักในการบริหารงานบุคคล แบ่งเป็น 2 ระบบคือ
1. ระบบคุณธรรม Merit System ใช้หลักเกณฑ์
1.1 หลักความเสมอภาค เช่น มีสิทธิสอบได้ทุก
1.2 หลักความสามารถ เช่น คัดเลือกผู้มีความสามารถสูงไว้ก่อน
1.3 หลักความมั่นคง เช่น ถ้าไม่ผิดวินัย ก็ไม่ถูกลงโทษให้ออก อยู่จนเกษียณ
1.4 หลักความเป็นกลางทางการเมือง เช้า ห้ามข้าราชการเป็นกรรมการบริษัท
2. ระบบอุปถัมภ์ Patronage System ยึดถือพวกพ้อง เครือญาติ หรือผู้มีอุปการคุณ เป็นระบบดั้งเดิม โดยมีแหล่งกำเนิดมาจากจีนโบราณ ที่มักใช้การสืบทอดทางสายเลือด รวมไปถึง การนำสิ่งของ มาแลกตำแหน่ง   ลักษณะที่สำคัญ คือ
1.1 ไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ
1.2 ไม่เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเลือกสรร
1.3 มักมีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของหน่วยงาน
*******************************************************
2. การจำแนกตำแหน่งมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
  •  การจำแนกตำแหน่ง แบ่งเป็น 3 ประเภท
1.จำแนกตำแหน่งตามลักษณะตำแหน่ง Position Classification เป็นการจำแนกตำแหน่งโดยถือลักษณะความรับผิดชอบของตำแหน่งเป็นสำคัญ เช่น กลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการ การเงิน นิติกร วิศวกร เป็นต้น
2.การจำแนกตำแหน่งตามลักษณะยศ Rank Classification เป็นการจำแนกตำแหน่งตามตำแหน่งที่ประกอบกับชั้นยศ ใช้กับทหาร ตำรวจ
3. การจำแนกตำแหน่งตามลักษณะชั้นยศทางวิชาการ Academic Rank Classification จำแนกตามคุณลักษณะความเชี่ยวชาญ วิชาการ เช่น ครู อาจารย์
*******************************************************
3.  ขั้นตอนของการวางแผนกำลังคนมีอะไรบ้าง

    ·       ศึกษานโยบายและแผนขององค์การ กระบวนการวางแผนกำลังคนต้องให้สอดคล้องกับนโยบาย
และแผนขององค์การ และคาดคะเนปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายและแผนขององค์การ เช่น แนวโน้มของธุรกิจนั้น ๆ ในอนาคตการขยายตัวและการเจริญเติบโตขององค์การ (และคู่แข่ง), การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้างองค์การการเปลี่ยนแปลงในแนวคิดปรัชญาการบริหารในอนาคตบทบาทของรัฐบาลบทบาทสหภาพแรงงานการแข่งขันของธุรกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ
·       การตรวจสภาพกำลังคน ; ค้นหาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับสภาพกำลังคนที่มีอยู่ในองค์การ เช่น
จำนวนตำแหน่ง , อัตรากำลังคน , ความสามารถของพนักงานที่มีอยู่
การตรวจสภาพกำลังคนอาจจะทาได้ดังต่อไปนี้
1.การวิเคราะห์งานแต่ละตำแหน่ง องค์การมีตำแหน่งอะไรบ้าง มีคุณสมบัติแต่ละตำแหน่งอย่างไร
บ้าง
2.การทำบัญชีรายการทักษะ ตรวจสภาพพนักงานแต่ละคนมีความสามารถ ชำนาญถนัดในด้าน
ใดบ้าง
3.คาดการความสูญเสียกำลังคนในอนาคต ใครจะลาออกในอนาคต ใครเกษียณอายุปีหน้าบ้าง
4.ศึกษาความเคลื่อนไหวภายในเกี่ยวกับ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย ให้เป็นปัจจุบัน
ตลอดเวลา
·       แผนภูมิแสดงความเคลื่อนไหวของบุคคลการในองค์การ
·       การพยากรณ์ความต้องการกำลังคน คล้ายกับการตรวจสภาพกำลังคน แต่การพยากรณ์มุ่งเน้น
อนาคต จะอาศัยปัจจัยต่อไปนี้เพื่อช่วยในการพยากรณ์คือ
1.ปริมาณการผลิต
2.การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
3.อุปสงค์และอุปทาน
4.การวางแผนอาชีพให้แก่พนักงาน Career Planning
        ·       การเตรียมหาคนสำหรับอนาคต อาจทำได้ดังนี้
1.การฝึกอบรมพัฒนาพนักงานที่มีอยู่ ช่วยขวัญกำลังใจ แผนอาชีพ
2.การสรรหาคัดเลือกบุคคลจากภายนอก ตลาดแรงงาน
*******************************************************
4.  การวางแผนกำลังคนที่ดีมีอะไรบ้าง
  • การวางแผนกาลังคนที่ดี ต้องทราบสาระดังนี้
1. ภาระงาน Workload หน้าที่ความรับผิดชอบชั่วโมงงาน
2. การออกแบบงาน Job Design เป็นการออกแบบโครงสร้างงานต่างๆ ทั้งองค์การว่ามีกลุ่มงานอะไรบ้าง
3. การวิเคราะห์งาน Job Analysis วิเคราะห์งานแต่ละตำแหน่ง กำหนดคุณลักษณะที่จาเป็นแต่ละตำแหน่ง เช่น ความสำคัญของงาน ระดับความเป็นอิสระ ตัวบ่งชี้ผลลัพธ์ของงาน ความรู้ความสามารถและทักษะที่จำเป็น เพื่อกำหนดรายละเอียดของตำแหน่ง Job Description และคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง Job Specification
               4. รายละเอียดของตำแหน่งงาน Job Description เป็นการกำหนดชื่อตำแหน่งงานที่ต้องปฏิบัติ
               5. คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง Job Specification เป็นการกำหนดรายละเอียดในตำแหน่งลึกลงไปอีก
               6. การทำให้งานมีความหมาย Job Enrichment เป็นวิธีการจูงใจและพัฒนาบุคลากรให้เกิดความ
พึงพอใจในการทำงาน (จิ๋วแต่แจ๋วเล็กดีรสโต) (Job Enlargement) เล็ก ๆ มิต้าไม่ ใหญ่ ๆ มิต้าทา
*******************************************************
5. องค์ประกอบของการอำนวยการมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
  • องค์ประกอบของการอำนวยการมี
1.ความเป็นผู้นำ เป็นกระบวนการของการสั่งการ และการใช้อิทธิพลต่อกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิก
ในองค์การให้ยอมตามเพราะยอมรับในอำนาจที่มาจาก 3 แหล่ง คือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา อำนาจจากบารมี และอำนาจตามกฎหมาย จึงก่อให้เกิดผู้นำ 3 แบบ คือ แบบประชาธิปไตย แบบเผด็จการ และแบบตามสบาย
2. การจูงใจมีความสำคัญต่อการสั่งการหรือการอำนวยการ เพราะเกี่ยวกับบุคลากรให้ปฏิบัติงาน
จึงจำเป็นต้องมีการจูงใจหรือกระตุ้นให้อยากทางาน โดยอาศัยหลักธรรมชาติว่ามนุษย์ต้องการ ระดับ
ได้แก่ความต้องการขั้นพื้นฐาน คือปัจจัย 4 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการทางสังคม
ความต้องการมีเกียรติยศชื่อเสียง และความต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต  ดังนั้น ในการสั่งการโดยมีเทคนิคจูงใจด้วย ก่อนจะสั่งการควรขึ้นคำถามก่อนว่า พอมีเวลาหรือไม่” หรือ คุณจะช่วยงานนี้ได้ไหม
3. การติดต่อสื่อสารเป็นกระบวนการสำคัญช่วยให้การอำนวยการดำเนินไปได้ด้วยดีมีประสิทธิภาพ มี 2 ลักษณะคือ สื่อสารแบบทางเดียว และสื่อสารแบบ 2 ทาง
*******************************************************
6. ประเภทของการอำนวยการมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
  • ประเภทของการอำนวยการมี  2  ประเภท
1. โดยวาจา
2. โดยลายลักษณ์อักษร ได้แก่
2.1. ทำบันทึกข้อความ
2.2. หนังสือเวียน
2.3. คำสั่ง
2.4. ประกาศ
*******************************************************
7. รูปแบบของการอำนวยการมีอะไรบ้าง
  • รูปแบบของการอำนวยการ
1.คำสั่งแบบบังคับ
2.คำสั่งแบบขอร้อง
3.คำสั่งแบบแนะนำหรือโดยปริยาย
4.คำสั่งแบบขอความสมัครใจ
*******************************************************
8. การอำนวยการที่ดีมีอะไรบ้าง
  • ลักษณะการอำนวยการที่ดี
1. ต้องชัดเจน
2. ให้คำสั่งมีลักษณะแน่นอน ไม่ใช่ตามอารมณ์
3. ถ้าผู้รับคำสั่งมีท่าทีสงสัย ให้ขจัดความสงสัยทันที
4. ใช้น้ำเสียงให้เป็นประโยชน์
5. วางสีหน้าเข้มแข็งเอาจริงเอาจัง
6. ใช้ถ้อยคำอย่างสุภาพ
7. ลดคำสั่งที่มีลักษณะ ห้ามการกระทำให้เหลือน้อยที่สุด
8. อย่าออกคำสั่งในเวลาเดียวกัน มากเกินไป
9. ต้องแน่ใจว่าการออกคำสั่งหลาย ๆ คำสั่ง ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง
10. ถ้าผู้รับปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ได้ อย่าบันดาลโทสะ พิจารณาตนเองว่าเหตุใดคาสั่งไม่ได้ผล อย่าโยนความผิดให้ผู้รับคำสั่ง
*******************************************************
9. ให้นิสิตอธิบายความเชื่อมโยงการบริหารงานบุคคลกับการอำนวยการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้อย่างไร
  • ความเชื่อมโยง
การบริหารงานบุคคลเป็นศิลปะในการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานในองค์การ
มอบหมายงาน พัฒนาบุคคลและให้พ้นจากงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพของเป้าหมายหรือบริการของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ หรือหน่วยงานเป็นสำคัญ 
               การอำนวยการ หมายถึง การจัดการของผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการสั่งการตามหน้าที่ความ
รับผิดชอบ ชี้แนะ บุคคล การนิเทศงาน และการติดตามผล เพื่อให้งานดำเนินไปตามแผนหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้
การบริหารงานบุคคลกับการอำนวยการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
เนื่องจากในแต่ละศูนย์ฯจะประสบความสำเร็จได้ต้องเริ่มจากการบริหารงานบุคคล  การคัดเลือกหาบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ภายในศูนย์ฯ ซึ่งบุคคลนั้นๆ ต้องมีความเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่  ความรับผิดชอบ โดยการทำงานในหน้าที่ของบุคคลนั้นจะมีการจัดการของผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการสั่งการตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ชี้แนะ บุคคล การนิเทศงาน และการติดตามผล เพื่อให้งานดำเนินไปตามแผนหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้  หากศูนย์ฯขาด ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งการดำเนินงานอาจไม่เป็นไปตามแผนหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้

*******************************************************