การบริหารงานบุคคล ประจำศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
1. อธิบายภารกิจหรือกิจกรรมที่สำคัญๆ
ของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้มีอะไรบ้าง
บทบาทหน้าที่ของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
ส่วนใหญ่มีหน้าที่ในการจัดหา จัดสร้างดำเนินงาน
บริการด้านสื่อการเรียนการสอน ข้อสนเทศความรู้วิทยากร และนวัตกรรมต่างๆ
อันเป็นผลผลิตของเทคโนโลยีทางการศึกษาสมัยใหม่
โดยจะต้องรวบรวมจัดหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการค้นหา จัดให้บริการยืม
อีกทั้งจะต้องบำรุงรักษาซ่อมแวมวัสดุการศึกษาดังกล่าวให้มีสภาพสมบูรณ์พร้อมต่อการใช้สอยได้ตลอกเวลา
ในกรณีที่เกิดปัญหาไม่เข้าใจ หรือผู้ให้บริการมีข้อปัญหาซักถามในด้านความรู้
ข้อสนเทศหรือปัญหาทางเทคนิคต่างๆ
ศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้มีหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาหารือเพื่อสร้างความเข้าใจ
ส่งเสริมความรู้ให้แก่บุคลากรต่างๆภายในหรือภายนอกสถานศึกษาด้วย
ศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้เป็นหน่วยงานกลางมีหน้าที่บริการสื่อการเรียนการสอนแก่ครูอาจารย์
นักเรียน
การบริการนับได้ว่าเป็นหัวใจของงานในหน้าที่ของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ซึ่งงานบริการนี้ส่วนใหญ่จะควบคู่ไปกับกิจกรรมอื่นๆด้วย
ดังนั้น
จึงกล่าวสรุปได้ว่าภารกิจหรือกิจกรรมที่สำคัญในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ ได้แก่
1. การเลือก
จัดหา การลงทะเบียน ทำบัตรรายการ การบริการการใช้ ตลอดจนเก็บบำรุงรักษาวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆ
2. การผลิตสื่อการสอน
เช่น ผลิตวัสดุกราฟิก การบันทึกเสียง ท ารายการวิทยุและโทรทัศน์
3. จัดกิจกรรมทางวิชาการ
เช่น การฝึกอบรมครูประจำการ การวิจัย การจัดนิทรรศการ ตลอดจนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
ฯลฯ
4. การบริหาร
เช่น การจัดบุคลากร การนิเทศ การบันทึกรายการ การติดต่อประสานงานและการทำงบประมาณ เป็นต้น
5. การประเมินกิจกรรมต่างๆ
*********************************************************
2. ถ้าหากพิจารณาบทบาทหน้าที่
และความรับผิดชอบในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้ จะประกอบด้วยบุคคลด้านใดบ้าง
1. ด้านบริหาร
เพื่อให้หน่วยงานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยต้องมีฝ่ายรับผิดชอบ ดังนี้
- หัวหน้าหน่วยงาน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าหัวหน้าศูนย์หรือผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
- หัวหน้างานหรือหัวหน้าฝ่าย จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบงานในแต่ละฝ่าย
- เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุม การจัดการงานต่างๆ เช่น งานธุรการ งานบุคคล งานพัสดุ งานจัดระบบงาน
- พนักงานธุรการ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ เช่น งานธุรการหรืองานสารบรรณงานดำเนินการจัดซื้อพัสดุ งานครุภัณฑ์ งานจัดทำทะเบียนและเบิกจ่ายพัสดุครุภัณฑ์ของสำนักงาน
- เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงในคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์เอกสาร หนังสือโต้ตอบ หนังสือคำสั่ง
2. ด้านการบริการ
มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการสำรวจและจัดหา จัดเก็บแยกหมวดหมู่
และจัดทำทะเบียนบัญชีสื่อรวมทั้งมีหน้าที่รับผิดชอบในการซ่อมบำรุงสื่อ โดยมีฝ่ายที่รับผิดชอบ
ดังนี้
- บรรณารักษ์ โดยจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดหา การให้เลขหมู่ ทำบัตรรายการ เก็บรวบรวมสถิติ ให้คำปรึกษาและบริการในการค้นหาสื่อต่างๆ
- นักวิชาการคอมพิวเตอร์ จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการติดตั้งการใช้คอมพิวเตอร์ ดูและระบบคอมพิวเตอร์และปฏิบัติงานหน้าที่อื่นๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
- นายช่างอิเล็กทรอนิกส์ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรักษา ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ปฏิบัติการเกี่ยวกับเสียง ช่างตัดต่อ ช่างกล้อง จัดซื้อจัดหา ทำบัญชีวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น
3. ด้านการผลิตสื่อ
บุคลากรที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้
- นักวิชาการโสตทัศนศึกษา มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการออกแบบและผลิตสื่อการเรียนการสอนในระดับต่างๆ การออกแบบประเมินและวิจัยสื่อ
- นักวิชาการช่างศิลป์ จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านการออกแบบภาพประเภทต่างๆ ตัวอักษรประกอบคำบรรยายออกแบบแผ่นป้าย แผนภาพประชาสัมพันธ์ ท ารูปปั้นจำลองสื่อวัสดุสามมิติและอื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็น ผู้กำหนดและประมาณการขั้นต้นในการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติทางด้านศิลปะหรือวัสดุที่ใช้ในการฝึกปฏิบัติกราฟิก
- นายช่างภาพ มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการเตรียมจัดหา และเก็บรักษาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพและในห้องปฏิบัติการถ่ายภาพ ล้างอัดขยายภาพ จัดเก็บรักษาฟิล์ม
4. ด้านวิชาการ
- นักวิชาการศึกษา มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการวิจัยและเป็นผู้ช่วยในการวิจัยสื่อต่างๆรวมถึงเป็นผู้ช่วยในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
- นักวิจัย มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการวิจัยและพัฒนาสื่อร่วมกับนักวิชาการโสตทัศนศึกษาและเป็นผู้ออกแบบในการวิจัยรวมถึงการวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัยสื่อ
5. ด้านการปรับปรุงการเรียนการสอน
มีภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการศึกษาเป็นสำคัญในการจัดหาสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและเนื้อหาแต่ละวิชา
6. ด้านกิจกรรมอื่น
เช่น
มีบทบาทหน้าที่ประชาสัมพันธ์สถาบันต่อชุมชนจัดนิทรรศการหรือจัดการแสดงความก้าวหน้าต่างๆ
*********************************************************
3. ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
จำแนกเป็นประเภทที่สำคัญได้กี่ประเภท
ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้สามารถแบ่งได้
3
ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. บุคลากรทางวิชาชีพ
(Professional Staff) ได้แก่
บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาหรือโสตทัศนศึกษาระดับปริญญา
ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ (Media
Specialists) หรือบางที่อาจเรียกว่านักวิชาการการโสตทัศนศึกษา
บุคลากรกลุ่มนี้จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือผู้บริหาร อำนวยการประสานเกี่ยวกับสื่อ
และอำนวยการให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
บุคลากรทางวิชาชีพสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น
- บุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุตีพิมพ์และไม่ตีพิมพ์ ( Printed and Non-Printed Specialization)
- บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านสิ่งพิมพ์และโสตทัศนูปกรณ์ ( Printed and Audiovisual Aids )
- บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเฉพาะหน้าที่ (Functional Specialization)
- บุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา (Subject Specialization)
- บุคลากรที่เชี่ยวชาญเรื่องสื่อเฉพาะระดับชั้น (Level Specialization )
- บุคลากรที่เชี่ยวชาญเรื่องสื่อเฉพาะหน่วยงาน (Unit-Type Specialization)
2. บุคลากรกึ่งวิชาชีพ
(Paraprofessional Staff) คือ
บุคคลที่ได้วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพโดยมีหน้าที่ช่วยเหลือบุคลากรทางวิชาชีพเกี่ยวกับด้านเทคนิคหรือด้านบริการ
ได้แก่
- พนักงานเทคนิค ( Media Techician)
- พนักงานด้านกราฟิกหรือช่างศิลป์
- พนักงานด้านภาพนิ่ง หรือช่างภาพ
- พนักงานช่างเทคนิค
- พนักงานด้านวิทยุโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง
3. บุคลากรที่ไม่มีความรู้ทางวิชาชีพ
(Non-professional Staff) ทำหน้าที่ทางด้านธุรกิจ
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ใช้ความรู้ความชำนาญเฉพาะในหน้าที่ของตน
*********************************************************
4. ท่านมีขั้นตอนในการจัดหาสื่อการเรียนการสอน
มาใช้บริการในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้อย่างไร จงอธิบาย
ในการจัดหาสื่อมาไว้บริการภายในศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว มีระบบ ระเบียบ สามารถแบ่งออกเป็นขันตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
เป็นขั้นการสำรวจสภาพของสื่อในสถานศึกษาเพื่อสำรวจหาข้อเท็จจริงเบื้องต้น
เป็นข้อมูลมาประกอบการจัดหา ได้แก่
1. การสำรวจสื่อวัสดุ
(Materials)การสำรวจสื่อวัสดุมีรายการที่ต้องการทราบ
คือ
- ชนิดของวัสดุ
- ชื่อเรื่อง
- แหล่งที่เก็บ (Location)
- แหล่งที่ได้มา
- สภาพการใช้งานปัจจุบัน
2. การสำรวจเครื่องมือ
(Equipments)
- ชนิดของเครื่องมือ
- แบบ/รุ่น
- แหล่งที่เก็บ
- แหล่งที่ได้มา
- จำนวน
- สภาพการใช้งานปัจจุบัน
ขั้นตอนที่ 2
การสำรวจสถานที่ เป็นขั้นตอนการสำรวจวางแผนจะให้สถานที่ส่วนใดบ้างในการทำกิจกรรม
เพื่อเป็นการตรวจสอบดูว่ามีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องการมีเพียงพอแล้วหรือยังและจะต้องการจัดหาอะไรเพิ่มเติมบ้าง
ขั้นตอนที่ 3
การสำรวจความต้องการของผู้ใช้ เพื่อต้องการทราบถึงความต้องการใช้สื่อประเภทต่างๆ
โดยนำข้อมูลที่ได้ไปดำเนินการจัดหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
ดังนั้นก่อนการจัดหาหรือจัดซื้อสื่อมาไว้บริการ
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสำรวจและศึกษาความต้องการของผู้ใช้ก่อนเสมอ
การสำรวจความต้องการใช้สื่อในการเรียนการสอนสามารถทำได้หลายลักษณะ ได้แก่
1. การสัมภาษณ์
ซักถามเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย
2. การสังเกต
เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้ต้องการข้อมูลสามารถนำมาใช้เพื่อเก็บข้อมูลโดยดูจากพฤติกรรมการใช้สื่อที่มีมาแต่เดิม
3. การใช้แบบสอบถาม
เป็นการสำรวจที่ได้รายละเอียดมากกว่าแบบอื่นๆ
ขั้นตอนที่ 4
เป็นขั้นการจัดหา โดยนำข้อมูลที่ได้มาจากความต้องการแล้วทำเป็นโครงการสั้นๆ
หรือโครงการระยะยาวเพื่อวางแผนในเรื่องงบประมาณในการจัดหาต่อไป
ในการจัดซื้อผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาตามลำดับความสำคัญของผู้ใช้โดยจัดซื้อเฉพาะสื่อที่มีคุณภาพ
ประหยัดงบประมาณ ก่อนจัดซื้อสื่ออะไรมาไว้บริการจะต้องมีการประเมินค่าสื่อนั้น
โดยคณะกรรมการประเมินค่าสื่อเพื่อพิจารณาว่าสื่อหรือวัสดุอุปกรณ์มีคุณค่าต่อการเรียนการสอนมากน้อยเพียงไร
มีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรเพื่อให้การจัดซื้อจัดหาสื่อมาไว้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
*********************************************************
5. อธิบายวิธีการจัดซื้อจัดหาวัสดุครุภัณฑ์เพื่อมาใช้ในกิจกรรมและบริการ
ท่านมีหลักเกณฑ์สำคัญอะไรบ้าง
สื่อประเภทโสตทัศนูปกรณ์จะมีราคาแพงต้องใช้งบประมาณสูงในการจัดซื้อ
จัดหา
ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อมาไว้บริการจึงควรพิจารณาคุณสมบัติและการใช้งานให้ละเอียดถี่ถ้วนโดยพิจาณายึดเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
1. ความคงทน
(Ruggedness ) โดยพิจารณาถึงวัสดุที่ประกอบเป็นตัวเครื่องให้ความคงทน
แข็งแรง ไม่แตกหักง่าย
2. ความสะดวกในการใช้งาน
(Ease of Operation) โดยพิจารณาถึงการควบคุม การบังคับ
กลไกไม่ซับซ้อนจนเกินไปหรือมีปุ่มต่างๆมากมายเกินไป
3. ความกะทัดรัด
(Portability) โดยพิจารณาถึงขนาดของตัวเครื่อง
น้ำหนัก ความสะดวก ในการเก็บ และเคลื่อนย้าย
4. คุณภาพของเครื่อง
(Quality of Peration) เป็นการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานที่ประกอบรวมกันเป็นไปตามคุณสมบัติต้องการใช้งานเพียงใด
5. การออกแบบ
(Design) เป็นการพิจารณาเกี่ยวกับรูปลักษณ์ว่าสวยงามมีความทันสมัยการ ติดตั้งอุปกรณ์ประกอบออกแบบให้ใช้ได้ง่าย
6. ความปลอดภัย
(Safety) เป็นการพิจารณาว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งที่น่าจะเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายได้ง่ายขณะใช้งาน
7. ความสะดวกในการบำรุงรักษาละซ่อมแซม
( Ease of Maitenance and Repair) เป็นการพิจารณาว่ามีส่วนประกอบใดที่ยุ่งยากต่อการซ่อมแซมหรือมีความยากลำบากในการดูแลรักษาหรือมีส่วนประกอบที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงเมื่อชำรุดแล้วไม่สามารถซ่อมแซม
8. ราคา
(Cost) การจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์มาใช้หรือเพื่อบริการควรคำนึงถึงราคาซึ่งไม่
แพงเกินไปที่
สำคัญพิจารณาถึงความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งานแล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่น
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเหมาะสมกับราคาและคุณภาพ ของเครื่องมืออุปกรณ์นั้น
9. ชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิต
( Reputation of Manufacturer) การพิจารณาบริษัทผู้ผลิตเพื่อจะทราบว่า
วัสดุอุปกรณ์ที่ซื้อนั้นมีจำนวนและรุ่นที่ผลิตออกมามากน้อยพียงใด หากเป็นบริษัทที่มั่นคง
มีชื่อเสียง จะเห็นได้ว่ามีระบบการผลิต
ระบบการจัดการอื่นๆ ที่ได้ มาตรฐาน ทำให้วัสดุอุปกรณ์มีคุณภาพและ น่าเชื่อถือ
10. การบริการซ่อมแซม
(Available Service) อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ
ควรเป็นแบบที่สามารถ ซ่อมแซม ได้ง่าย
รวดเร็วและมีบริการดูแลบำรุงรักษาที่เอาใจใส่ดูแลบำรุงสม่ำเสมอและมีอะไหล่สำรองไว้เพียงพอหรือเมื่อมีปัญหาทางบริษัทสามารถแก้ปัญหาให้รวดเร็ว
*********************************************************